เภสัชกร
Posted : 09/01/2025

เภสัชกร บทบาทและความสำคัญในสายสุขภาพ
ในโลกปัจจุบันที่สุขภาพเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก การมีบุคลากรทางการแพทย์ที่เชี่ยวชาญและพร้อมให้คำปรึกษาถือเป็นสิ่งสำคัญ หนึ่งในบุคคลเหล่านี้คือ "เภสัชกร" ที่มีบทบาทสำคัญทั้งในด้านการดูแลสุขภาพ การให้คำแนะนำเกี่ยวกับยา และการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้ยาในชีวิตประจำวัน
อาชีพเภสัชกรคือใคร?
เภสัชกรคือบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านยาและการใช้ยาอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ บทบาทหลักของเภสัชกรคือการจัดหาและจ่ายยา รวมถึงให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ยาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย เภสัชกรยังมีหน้าที่ดูแลการผลิตยา ควบคุมคุณภาพของยา และสนับสนุนการวิจัยเพื่อพัฒนายาใหม่ ๆ
อาชีพเภสัชกรมักเป็นผู้ที่คอยอธิบายและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ยาอย่างถูกต้อง เช่น ปริมาณการใช้ยา เวลาในการรับประทาน และวิธีหลีกเลี่ยงอาการข้างเคียงของยา
นอกจากการจ่ายยา อาชีพเภสัชกรยังมีบทบาทในการให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ เช่น การป้องกันโรค การตรวจสอบอาการเบื้องต้น และการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพในระยะยาว
อาชีพเภสัชกรช่วยเป็นสื่อกลางที่เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างแพทย์และผู้ป่วย ทำให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนและลดความผิดพลาดในการใช้ยา
ด้วยความใกล้ชิดกับชุมชน อาชีพเภสัชกรมักเป็นบุคคลที่ผู้ป่วยไว้วางใจ สามารถปรึกษาปัญหาสุขภาพทั้งเล็กและใหญ่ได้
ความสำคัญของอาชีพเภสัชกร
อาชีพเภสัชกรมีบทบาทสำคัญในการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ยาอย่างถูกต้อง ป้องกันการใช้ยาผิดวิธีหรือเกินขนาด รวมถึงให้คำแนะนำเกี่ยวกับผลข้างเคียงของยา ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อสุขภาพและเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาโรค
ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในชนบทหรือพื้นที่ห่างไกล อาชีพเภสัชกรช่วยลดช่องว่างในการเข้าถึงบริการสุขภาพ พวกเขามีบทบาทในการให้คำปรึกษาเรื่องสุขภาพเบื้องต้น ช่วยผู้ป่วยวินิจฉัยปัญหาเบื้องต้น และส่งต่อไปยังแพทย์เมื่อจำเป็น
อาชีพเภสัชกรมักเป็นผู้ให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับโรค การป้องกันโรค และการดูแลสุขภาพ เช่น การแนะนำวิธีปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคเรื้อรัง หรือการส่งเสริมพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพ
ด้วยบุคลิกที่เป็นกันเองและการดูแลเอาใจใส่ อาชีพเภสัชกรมักเป็นที่พึ่งทางใจของผู้ป่วยและคนในชุมชน โดยเฉพาะในเวลาที่พวกเขากังวลเกี่ยวกับสุขภาพหรือกำลังเผชิญกับความยากลำบาก
ด้วยการให้คำแนะนำและบริการเบื้องต้น อาชีพเภสัชกรช่วยลดภาระงานของโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล ทำให้ระบบสุขภาพโดยรวมสามารถจัดการทรัพยากรได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในช่วงที่เกิดการระบาดของโรค อาชีพเภสัชกรมีบทบาทสำคัญในการกระจายข้อมูลที่ถูกต้อง เช่น การรณรงค์การฉีดวัคซีน การใช้ยาอย่างเหมาะสม และการแจกจ่ายอุปกรณ์สุขภาพ เช่น หน้ากากอนามัยหรือยาฉุกเฉิน
ความท้าทายและอนาคตของเภสัชกร
แม้ว่าอาชีพเภสัชกรจะเป็นที่รักและเคารพในหลายพื้นที่ แต่พวกเขาก็เผชิญกับความท้าทาย เช่น การต้องติดตามข้อมูลทางการแพทย์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หรือการสร้างความเข้าใจในกลุ่มผู้ป่วยที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม ด้วยความมุ่งมั่นและการพัฒนาทักษะ อาชีพเภสัชกรยังคงเป็นผู้ขับเคลื่อนที่สำคัญในระบบสาธารณสุขของประเทศ

ลักษณะการทำงานของเภสัชกร
เภสัชกรมีบทบาทสำคัญในระบบสาธารณสุข โดยหน้าที่และลักษณะการทำงานของเภสัชกรสามารถแบ่งออกได้ตามประเภทงาน ดังนี้
ทำงานในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล โดยมีหน้าที่หลัก
- จ่ายยา: ตรวจสอบใบสั่งยาของแพทย์เพื่อให้แน่ใจว่าถูกต้องและเหมาะสมกับผู้ป่วย
- ให้คำแนะนำผู้ป่วย: สอนผู้ป่วยเกี่ยวกับวิธีการใช้ยา ข้อควรระวัง และผลข้างเคียง
- ควบคุมคลังยา: จัดหา เก็บรักษา และตรวจสอบสต็อกยาเพื่อให้มีปริมาณเพียงพอและมีคุณภาพ
- ร่วมทีมรักษา: ทำงานร่วมกับแพทย์และพยาบาลเพื่อกำหนดการรักษาที่เหมาะสม
ทำงานในร้านขายยาและเป็นผู้ที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่ายที่สุด โดยมีหน้าที่
- จ่ายยาแบบไม่มีใบสั่งยา: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับยาสามัญประจำบ้านหรือยาที่สามารถซื้อได้เอง
- ตรวจสอบอาการเบื้องต้น: ช่วยผู้ป่วยประเมินอาการเบื้องต้น และแนะนำให้ไปพบแพทย์เมื่อจำเป็น
- ส่งเสริมสุขภาพชุมชน: แนะนำเรื่องการดูแลสุขภาพ เช่น การเลิกบุหรี่ การดูแลโรคเรื้อรัง
ทำงานในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและจำหน่ายยา มีหน้าที่หลักดังนี้
- วิจัยและพัฒนายา: ค้นคว้าและพัฒนายาใหม่ ๆ เพื่อรักษาโรค
- ตรวจสอบคุณภาพยา: ควบคุมมาตรฐานในกระบวนการผลิตยา
- การตลาดและการส่งเสริมการขายยา: นำเสนอผลิตภัณฑ์ยาแก่เภสัชกรหรือแพทย์
เน้นการค้นคว้าวิจัยเพื่อพัฒนาความรู้ด้านเภสัชศาสตร์และถ่ายทอดความรู้นั้นผ่านการสอน
- วิจัยทางวิทยาศาสตร์: ศึกษาผลกระทบของยาใหม่ต่อร่างกายมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิต
- เป็นอาจารย์: สอนนักศึกษาเภสัชศาสตร์ในสถาบันการศึกษา
ทำงานในหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
- การขึ้นทะเบียนยา: ตรวจสอบเอกสารเพื่ออนุมัติการขึ้นทะเบียนยาใหม่
- กำกับดูแลยา: ดูแลให้การผลิตและการจำหน่ายยาปฏิบัติตามกฎหมาย
- ส่งเสริมการเข้าถึงยา: พัฒนานโยบายที่ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงยาได้อย่างปลอดภัย
เน้นการดูแลผู้ป่วยโดยตรงในทีมแพทย์
- ประเมินการใช้ยาเฉพาะรายบุคคล
- ตรวจสอบการเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา
- ช่วยเลือกยาและปรับขนาดยาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละคน
หลักสูตรการเรียนในคณะเภสัชศาสตร์
การศึกษาคณะเภสัชศาสตร์ในประเทศไทยเป็นหลักสูตร ปริญญาตรีเภสัชศาสตร์บัณฑิต (Pharmaceutical Sciences) ซึ่งใช้เวลาเรียน 6 ปี โดยหลักสูตรมุ่งเน้นพัฒนาความรู้ ความสามารถ และทักษะในการดูแลสุขภาพของประชาชนผ่านยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ
โครงสร้างหลักสูตรการเรียน
หลักสูตรแบ่งออกเป็น 2 ช่วงหลัก ได้แก่ ช่วงวิชาพื้นฐาน (Pre-Clinical) และช่วงวิชาเฉพาะทาง (Clinical) ดังนี้
ช่วงปีที่ 1-2 นักศึกษาจะเรียนวิชาพื้นฐานที่เป็นรากฐานสำคัญในวิทยาศาสตร์และสุขภาพ เช่น:
-
วิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน
- เคมีทั่วไป (General Chemistry)
- เคมีอินทรีย์ (Organic Chemistry)
- ชีววิทยา (Biology)
- ฟิสิกส์และชีวฟิสิกส์ (Physics and Biophysics)
- คณิตศาสตร์และสถิติ (Mathematics and Statistics)
-
วิชาทางการแพทย์พื้นฐาน
- กายวิภาคศาสตร์ (Anatomy)
- สรีรวิทยา (Physiology)
- จุลชีววิทยา (Microbiology)
- ชีวเคมี (Biochemistry)
-
วิชาสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
- จริยธรรมวิชาชีพเภสัชกรรม (Ethics in Pharmacy)
- การสื่อสารในวิชาชีพ (Professional Communication Skills)
ช่วงปีที่ 3-6 นักศึกษาจะเรียนเนื้อหาที่เฉพาะเจาะจงด้านเภสัชศาสตร์และฝึกปฏิบัติในสถานพยาบาลหรือหน่วยงานต่าง ๆ เช่น:
-
วิชาหลักทางเภสัชศาสตร์
- เภสัชวิทยา (Pharmacology) ศึกษาการออกฤทธิ์ของยาในร่างกายและการใช้ยาในการรักษาโรค
- เภสัชเคมี (Pharmaceutical Chemistry) ศึกษาโครงสร้างและสมบัติทางเคมีของยา
- เภสัชศาสตร์เทคโนโลยี (Pharmaceutical Technology) เรียนเกี่ยวกับกระบวนการผลิตยา เช่น การผลิตยาเม็ด ยาน้ำ และยาฉีด
- เภสัชจลนศาสตร์ (Pharmacokinetics) ศึกษาการดูดซึม การกระจายตัว การเผาผลาญ และการขับยาออกจากร่างกาย
-
วิชาทางคลินิกและชุมชน
- เภสัชกรรมคลินิก (Clinical Pharmacy) การจัดการการใช้ยาเฉพาะบุคคล ร่วมวางแผนการรักษากับทีมแพทย์
- เภสัชกรรมชุมชน (Community Pharmacy) บทบาทของเภสัชกรในร้านขายยาและชุมชน
- เภสัชระบาดวิทยา (Pharmacoepidemiology) การวิเคราะห์ผลกระทบของยาในระดับประชากร
-
วิชาการจัดการและนโยบาย
- การบริหารจัดการร้านขายยา (Pharmacy Management)
- การควบคุมและพัฒนาคุณภาพยา (Quality Assurance in Pharmacy)
- กฎหมายยาและจริยธรรมวิชาชีพ (Drug Law and Professional Ethics)
ช่วงปีที่ 5-6 นักศึกษาจะมีการฝึกปฏิบัติในสถานที่จริง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการทำงาน เช่น
- การฝึกงานในโรงพยาบาล
- การฝึกงานในร้านขายยา
- การฝึกงานในอุตสาหกรรมยา
ในประเทศไทย คณะเภสัชศาสตร์ แบ่งการเรียนการสอนออกเป็น 2 สาขาหลัก ซึ่งนักศึกษาสามารถเลือกสาขาเพื่อความเชี่ยวชาญเฉพาะทางตามความสนใจและเป้าหมายอาชีพ ดังนี้
สาขาเภสัชศาสตร์ (Pharmaceutical Sciences)
สาขานี้เน้นเกี่ยวกับการศึกษา การค้นคว้า และการพัฒนายา รวมถึงการควบคุมคุณภาพยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ โดยมีรายละเอียดดังนี้
- การวิจัยและพัฒนายาศึกษากระบวนการพัฒนาสูตรยาใหม่ ตั้งแต่การทดลองในห้องปฏิบัติการจนถึงการนำออกสู่ตลาด
- เภสัชเคมี (Pharmaceutical Chemistry) วิเคราะห์และพัฒนาสารเคมีที่ใช้ในยา รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างยาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
- เภสัชศาสตร์เทคโนโลยี (Pharmaceutical Technology) เน้นกระบวนการผลิตยา เช่น การผลิตยาเม็ด ยาน้ำ และยาฉีด
- การควบคุมคุณภาพยา (Quality Assurance and Control) ตรวจสอบมาตรฐานและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ยาให้เป็นไปตามข้อกำหนด
- เภสัชพฤกษศาสตร์ (Pharmacognosy) ศึกษาแหล่งที่มาของยาจากพืชและสมุนไพร รวมถึงการนำสมุนไพรมาใช้ในเชิงการแพทย์
ผู้สำเร็จการศึกษาในสาขานี้มักทำงานในอุตสาหกรรมยา เช่น การวิจัย การผลิตยา การประกันคุณภาพ หรือการตลาดยา
สาขาเภสัชกรรมคลินิก (Clinical Pharmacy)
สาขานี้มุ่งเน้นการใช้ยาอย่างเหมาะสมและปลอดภัยในผู้ป่วย รวมถึงการดูแลสุขภาพประชาชนในระดับบุคคลและชุมชน โดยมีรายละเอียดดังนี้
- การดูแลผู้ป่วย (Patient Care) ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ยา การจัดการโรค และการป้องกันการใช้ยาผิดวิธี
- เภสัชกรรมชุมชน (Community Pharmacy) บริการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับยาในร้านขายยาและส่งเสริมสุขภาพของชุมชน
- เภสัชกรรมโรงพยาบาล (Hospital Pharmacy) ดูแลการจ่ายยาในโรงพยาบาล รวมถึงการร่วมวางแผนการรักษากับแพทย์และพยาบาล
- เภสัชระบาดวิทยา (Pharmacoepidemiology) วิเคราะห์การใช้ยาในประชากรและผลกระทบของยาในระบบสุขภาพ
- การป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ ให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ เช่น การเลิกบุหรี่หรือการจัดการโรคเรื้อรัง
ผู้สำเร็จการศึกษาในสาขานี้มักทำงานในอุตสาหกรรมยา เช่น การวิจัย การผลิตยา การประกันคุณภาพ หรือการตลาดยา

ทักษะและคุณสมบัติที่จำเป็นของเภสัชกร
- ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เภสัชกรต้องมีความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับเคมี ชีววิทยา และสรีรวิทยาของร่างกาย
- ทักษะการสื่อสารความสามารถในการสื่อสารกับผู้ป่วย แพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์อื่น ๆ เป็นสิ่งสำคัญ
- ความละเอียดรอบคอบการจ่ายยาและให้คำแนะนำต้องแม่นยำและระมัดระวังเพื่อลดความเสี่ยงในการใช้ยาผิดพลาด
- การแก้ปัญหาเภสัชกรต้องวิเคราะห์ปัญหา เช่น ผลข้างเคียงของยา หรืออาการของผู้ป่วย และให้คำแนะนำที่เหมาะสม
- การพัฒนาตนเองต้องติดตามความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์อยู่เสมอ
อาชีพที่ต้องร่วมงานกับเภสัชกร
เภสัชกรทำงานร่วมกับบุคลากรหลายประเภทในระบบสุขภาพ เช่น
-
แพทย์
ทำงานร่วมกันในการเลือกและปรับยาที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วย
-
พยาบาล
สื่อสารเกี่ยวกับวิธีการบริหารยาและการดูแลผู้ป่วย
-
นักเทคนิคการแพทย์
ตรวจสอบผลวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการที่อาจเกี่ยวข้องกับการใช้ยา
-
นักวิทยาศาสตร์การแพทย์
ร่วมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ยา
-
ตัวแทนจำหน่ายยา
ประสานงานเกี่ยวกับการจัดหายาและผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์
-
นักกำหนดอาหาร (Dietitian)
ร่วมพิจารณาอาหารและยาที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยที่มีข้อจำกัดด้านสุขภาพ
เภสัชกรช่วยส่งเสริมการใช้ยาอย่างปลอดภัย สนับสนุนการเข้าถึงบริการสุขภาพ และสร้างความตระหนักรู้ด้านสุขภาพแก่ชุมชน พวกเขายังเป็นที่พึ่งทางใจและช่วยลดภาระในระบบสาธารณสุข เภสัชกรจึงถือเป็นบุคลากรสำคัญในระบบสุขภาพ ที่ไม่เพียงช่วยรักษาโรค แต่ยังมีบทบาทในการป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพของประชาชนในทุกระดับ